ICELAND :: Majesty of Nature Part 2/3
ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว ICELAND:: Majesty of Nature Part 1 เราเดินทางมาถึงวันที่ 4 ของทริปแล้วครับ หลังจากเห็นแสงเหนือแบบจางๆจากไกลๆที่จุดเครื่องบินตก DC3 แล้ว คืนต่อจากนี้ไปเราจะเห็นแสงเหนือกันแบบเต็มตา พร้อมกับวิวสวยๆ ทั้งภูเขาหิมะ ทะเลสาบ ถ้ำน้ำแข็ง หน้าผา และหาดทราย
ในตอนนี้ เราจะเดินทางกันจาก Jokulsarlon ไปพักที่ Hofn ถ่ายภูเขาสวยๆที่ Vestrahorn ย้อนกลับมาที่ Kirkjubæjarklaustur และปิดท้ายด้วย Vik
รายละเอียดแผนที่ดูที่นี่ได้เช่นเคยครับ: https://goo.gl/MYikPp
3 วันต่อจากนี้ จะสวยงามอลังการแค่ไหน ไปดูกัน!
ที่พัก คืนที่ 4-6
- [Hofn] Guesthouse Dyngja
- [Kirkjubaejarklaustur] Hörgsland Cottages
- [Vik] Hvoll Cottages
วันที่ 4
เราตัดสินใจตื่นเวลาเดิม นั่นคือตี 4 เพื่อที่จะไปล่าแสงเหนือกันเป็นคืนที่ 2
เมื่อวานตอนเย็นเราเลือกส่วนที่เป็นหุบเขาที่อยู่ตรงทิศเหนือพอดี มีฉากหน้าเป็นธารน้ำเล็กๆหลายสายวิ่งตรงเข้าหาหุบเขานั้น
ตามในจินตนาการมันจะต้องเท่มากๆ แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่เท่าไหร่ ผมเลยมองหา Subject อย่างอื่นแทน ก็ได้มาเป็นภูเขายอดแหลมๆที่อยู่ข้างๆ
คืนนี้เรามีรุ่นพี่คนไทยที่รู้จักกับกันมาร่วมล่าแสงเหนือด้วย ประกอบไปด้วย พี่มิ้ง พี่น้ำเย็น พี่แป้ง และ พี่แนน ทั้งสี่คนมีแพลนคล้ายๆกับของทีมเรา ซึ่งมุ่งหน้าไปจุดหมายเดียวกัน นั่นคือเมือง Hofn
เราถ่ายจนฟ้าสางแล้วก็กลับไปที่พักทำข้าวเช้ากินกันครับ เมนูเช้านี้เป็นโจ๊กหมูใส่ไข่ จากนั้นเราย้อนกลับไปที่ทะเลสาบ Jokulsarlon เพื่อไปถ่ายภาพหาดเพชรอันโด่งดังกัน ระหว่างทางก็แวะข้างทางเก็บภาพภูเขาหิมะงามๆซักหน่อย
หาดเพชร จริงๆแล้วก็คือหาดทรายดำที่มีก้อนน้ำแข็งกระจัดกระจายอยู่เต็มหาด ก้อนน้ำแข็งเหล่านั้นเป็นนำ้แข็งที่แตกหลุดออกมาจากธารน้ำแข็ง แล้วก็โดนคลื่นซัดกลับขึ้นฝั่งมา ไม่ได้ลอยมาจากขั้วโลกอย่างที่เคยเข้าใจ ฮาๆ
ที่นั่นผมก็สำเหนียกได้ว่าการถ่ายก้อนน้ำแข็งก้อนนึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมยังโชคดีที่เท้าไม่เปียกเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ที่พอแห้งแล้วรองเท้ามีขี้เกลือเกาะกันหมด ที่นี่เอง เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของกล้อง XA-2 ของมายด์ ที่ได้จากพวกเราไปอย่างไม่มีวันกลับ (กดถ่ายได้ แต่จอไม่ติด)
จากนั้นเราก็ขับรถกันสบายๆไปกินข้าวกลางวันกันที่เมือง Hofn ที่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เมืองนี้น่าอยู่จริงๆ
ตกบ่ายเราแวะไปจิบกาแฟยามบ่ายสไตล์ไวกิ้งที่ Viking Cafe ตรงแหลม Vastrahorn
ซึ่งไปๆมาๆกลายเป็นว่าลุงที่ชงกาแฟก็คือเจ้าของพื้นที่ Vastrahorn ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของเราก่อนที่จะตีรถย้อนกลับไปที่ Reykjavik
ระหว่างที่จิบกาแฟอยู่นั้น ผมก็คุยกับลุงแกไปถึงการเข้ามาถ่ายรูปตอนกลางคืน
เราทุกคนฟังแล้วก็เข้าใจว่าให้จ่ายตังค์ก่อน แล้วจะมาตอนไหนก็ได้ในวันนั้น รวมถึงกลางคืนด้วย
เราก็เลยจ่ายตังค์เป็นที่เรียบร้อย ตั้งใจว่าจะกลับมาใหม่ตอนกลางคืนเลยทีเดียว
เสร็จแล้วเราก็ขับรถเลยไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเลียบชายฝั่งไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมาย
เป็นวันสบายๆขับรถไปเรื่อยๆชมวิวสองข้างทาง
บ่ายแก่ๆก็วนกลับมาพักผ่อนเล่นในที่พัก ที่พักสวยงามน่ารัก อยู่นอนเล่นนั่งเล่นกันจนลืมเวลาว่าต้องไปถ่ายรูปตอนที่แสงสุดทายส่องยอดเขา
เราไปถึงจุดถ่ายประมาณ 30 วินาทีหลังจากแสงหมด ผมกรีดร้องไปตลอดทางระหว่างขับรถ เมื่อเห็นว่าภูเขาเป้าหมายกำลังถูกแสงสุดท้ายส่องยอดเขาเป็นสีชมพู ผมด่าตัวเองว่าทำไมไม่ยอมออกมาให้เร็วกว่านี้ มัวแต่นั่งๆนอนๆเล่นอยู่ตั้งนาน
ถ้าออกมาทัน ยอดเขาตรงนั้นจะเป็นสีชมพูสวยงามเลยครับ TT
ค่ำวันนั้นเรานัดกับกลุ่มพี่มิ้งไปกินอาหารท้องถิ่นที่ร้านชื่อดังของเมืองกัน ร้านนี้มีชื่อว่า Pakkhús Restaurant มื้อนี้เป็นมื้อหรูมื้อแรกในไอซ์แลนด์ ซึ่งเราหมดไปคนละ 4-5000 เหรียญ (ประมาณ 1500 บาท)
ค่ำนี้เรารีบนอนและวางแผนว่าจะตื่นมากลางดึกเพื่อไปเก็บแสงเหนือกันต่อ
วันที่ 5
เราตื่นกันตอนตี 2 นัดกับพี่มิ้งไว้ว่าจะไปลุยด้วยกันอีกคืนที่แหลม Vestrahorn ที่เราแวะไปตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น
คืนนั้นแสงเหนือก็ยังไม่แรงอีกเช่นเคย แต่สิ่งที่แลกมาก็คือเราเห็นทางช้างเผือกค่อนข้างชัดครับ แต่ก็ยังแอบเสียดายอยู่ ถ้ามาเร็วกว่านี้อีกซักหน่อย ทางช้างเผือกจะอยู่ตรงกลางเขาพอดี
ด้วยความหนาวและแสงเหนือไม่แรงเอาซะเลย เราก็เลยถอดใจกลับไปนอนในรถรอแสงเช้ากันแทน
เมื่อฟ้าสว่างขึ้น เราก็พบว่าที่ที่เราอยู่นั้นมันไม่ใช่แลนด์มาร์คซักหน่อย ต้องขับรถเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร
เป็นบทเรียนอีกครั้งว่าเราควรเข้ามาดูสถานที่ก่อนตั้งแต่เมื่อวาน
เราอยู่ถ่ายแสงเช้ากันอยู่ซักพักครับ ก่อนที่จะเกิดเรื่องน่าตื่นเต้นอีกครั้ง
ระหว่างที่เราถ่ายรูปกันอยู่ มายด์กับเรียวบอกว่าเจอกับลุงเจ้าของที่ที่เดินมาพร้อมกับเครื่องรูดบัตรเครดิต
ลุงบอกว่าต้องจ่ายตังค์ด้วยนะ
แต่มายด์กับเรียวก็ทำเนียนๆไม่ได้จ่ายไป
พอตอนออก เราขับผ่านร้านกาแฟของลุงอีกครั้ง เชียงใหม่มองกลับไปเห็นว่าลุงวิ่งออกมาจากร้านอย่างรวดเร็ว
ตอนนั้นก็คิดเล็กๆ ว่าลุงจะวิ่งตามมารึเปล่านะ
ผ่านไปประมาณอึดใจนึง ผมมองกระจกหลัง แล้วก็เห็นภาพแบบในหนังฮอลลีวู้ด
ลุงขับรถกระบะสีน้ำเงินคันใหญ่วิ่งฝุ่นตลบตามหลังเรามาแล้วแซงหน้าไปแล้วจอดขวางรถผม
ลุงเดินมาเกาะกระจกรถ ผมเปิดกระจก คิดในใจ “กูโดนแน่ๆ”
ลุงบอกผมด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างว่า “จ่ายตังมาซะดีๆ”
ผมก็เถียงไปว่าไหนคุยกันเมื่อวานแล้วไงว่าจ่ายครั้งเดียวอยู่ได้ทั้งคืน ลุงบอกใช่ ทั้งคืน แต่นี่มันเช้าแล้ว ต้องจ่ายอีกรอบ
. . .
แส๊ดดดด หน้าเลือด!!! เพื่อนสะกิดบอกจ่ายๆไปเหอะ ผมก็จำใจควักตังค์จ่ายลุงไปคนละ 800kr (ประมาณ 250 บาท)
บทเรียนในวันนี้สอนให้รู้ว่า ลุงหน้าเลือด อย่าจ่ายตังก่อนเข้านะครับ เข้าไปตอนกลางคืนแล้วจ่ายทีเดียวตอนเช้าเลย
วันนี้เรามีแพลนไปเดิน Glacier และดูถ้ำน้ำแข็งที่ Skaftafell กันต่อ
เรากลับไปที่พัก กินข้าวเช้าที่ที่พักจัดไว้ เป็นโยเกิร์ต นม และขนมปังโฮลวีทสุดอร่อย
แล้วรีบขับรถยาวประมาณ 3 ชั่วโมงไปที่จุดนัดพบ
เราจองทัวร์ Glacier walk & Ice cave ไว้กับบริษัท Guide to Iceland
รายการนี้เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของเราในทริปนี้ เพราะหนึ่งในเหตุผลที่เราเลือกมาฤดูนี้ก็คือการที่มีโอกาสเห็นถ้ำน้ำแข็งสุดตระการตา
หลังจากได้รับอุปกรณ์เป็นหมวกนิรภัย Ice axe และ crampons เป็นที่เรียบร้อย
(เพื่อนบางคนโดนจับให้เปลี่ยนรองเท้าเดินเขาแบบแข็งฟรี เพราะเค้ามองว่าไม่น่าจะเวิค)
เราก็ขึ้นรถบัสคันใหญ่ที่พาเราไปที่จุดเริ่มต้นของการเดินในครั้งนี้ คนในรถบัสถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละประมาณ 12 คน แล้วเราก็เดินเรียงแถวตามไกด์สาวผู้น่ารักของเราไปบนหิมะนุ่มๆเรื่อยๆ
ซักพักไกด์สาวก็บอกเราว่า นี่เราเดินอยู่บน Glacier ที่เก่าแก่เป็นหมื่นๆแสนๆปี (จำไม่ได้ละว่าเท่าไหร่)
แต่ผมมองยังไงมันก็หิมะชัดๆ ไกด์ก็บอกว่าเพราะวันก่อนหน้านั้นมีหิมะตกหนักจนคลุมน้ำแข็งสีฟ้าไปหมด
ลองขุดๆกันดู ก็ลึกไปเกือบ 10 เซนฯ กว่าจะเจอพื้นน้ำแข็งสีฟ้าของธารน้ำแข็งจริงๆ
รอยแยกระหว่างธารน้ำแข็ง 2 อัน
แล้วก็ถึงเวลาไปดูถ้ำน้ำแข็งที่ผมรอคอย
ไกด์พาเราค่อยๆมุดรูเล็กๆลงไป ผมก็เริ่มสงสัย ว่าทำไมต้องมุดลงไปขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าถ้ำใหญ่ๆเดินเข้าไปกระโดดได้หรอ…
แล้วไม่นานความจริงก็ปรากฏ เราผลัดกันเดินลงไปดูสิ่งทีเรียกว่า “Ice cave”
ซึ่งผมขอเรียกมันว่า “รูน้ำไหล” ที่ผนังและเพดานเป็นน้ำแข็ง แต่เล็กมากๆทีละ 6 คน
ทางเดินก็เป็นบันไดเล็กๆ ยาวประมาณ 10 ก้าว
…
จบกัน ความฝันถ้ำน้ำแข็งที่มีน้ำหยดติ๋งๆบนพื้นมีน้ำไหลพังทะลายไป
สรุปแล้ว เราผิดหวังกับทัวร์นี้พอสมควร ทั้งไม่ได้เดินบนน้ำแข็งฟ้าๆของ Glacier ไม่ได้เห็นถ้ำน้ำแข็งอย่างที่ในรูปโฆษณา แต่มีความดีอยู่อย่างเดียวก็คือ ไกด์น่ารัก จบครับ… 555
เย็นวันนั้นหลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจที่ Skaftafell เรามุ่งหน้าไปทางตะวันตกต่อไปที่เมือง kirkjubæjarklaustur (อ่านว่าไรก็ไม่รู้)
คืนนี้พยากรณ์ว่าจะมีแสงเหนือแรงระดับ Kp6 และมี Geometric storm ระดับ G2 ซึ่งถือว่าแรงมากมาก !
เราพยายามมองหามุมถ่ายภาพไปตลอดทาง เตรียมความพร้อมรับ KP6 ในคืนนี้
แต่ด้วยความที่ฟ้าเริ่มมืดแล้ว และรอบข้างก็ไมค่อยจะมีอะไรน่าสนใจซักเท่าไหร่ เราหามุมกันไม่ได้
และสุดท้ายก็ปักหมุดไว้ที่ก้อนหินสองก้อนที่ตั้งอยู่คู่กัน
หลังจากกินมาม่าในทีพักกันเรียบร้อยแล้ว (เป็นอีกมื้อนึงที่หาเนื้อสดไม่ได้)
ผมก็ออกมาหยิบของที่รถ แล้วสิ่งที่ผมเห็นก็คือ แสงสีเขียวปกคลุมอยู่ทั่วทั้งฟ้าเป็นเส้นพาดผ่านข้ามหัวไปเลย
ผมรีบเข้ามาบอกเพื่อนๆ แล้วทุกคนก็แต่งตัวเตรียมกล้องกันอย่างรวดเร็วราวกับหน่วยดับเพลิงที่มีคนโทรมาแจ้งว่ามีไฟไหม้ ทิ้งจานชามที่กินเสร็จแล้วไว้ข้างหลัง
ตลอดทางบนรถมุ่งหน้าไปหินสองก้อนนั่น เรามองกันไปทั่วท้องฟ้าก็พบกับสีเขียวอยู่ทุกทิศทุกทาง
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้ว่า แสงเหนือถ้าแรงจริงๆแล้วจะเห็นมันพาดผ่านท้องฟ้าไปอยู่ทุกทิศเลย
ไม่ใช่เฉพาะแค่ทิศเหนือ แถมถ้าเป็นทิศเหนือแล้วมันจะสว่างเกินไป ไม่ค่อยมีลาย ต้องไปถ่ายทิศอื่นแทนจะสวยกว่า
หลังจากเต็มอิ่มกับการถ่ายหินแถวนี้แล้ว เราก็ย้ายไปอีกจุดนึงที่เล็งไว้ครับ นั่นก็คือกระท่อมเล็กๆกลางหิมะ
หลังจากลงจากรถได้ไม่นาน และยังไม่ทันได้เล็งมุมดีๆ ทุกคนก็เริ่มรู้สึกว่าท้องฟ้ามันสว่างขึ้นเรื่อยๆ
แสงเหนือที่อยู่บนฟ้าเราค่อยๆเต้นระบำแรงขึ้น แรงขึ้น จากสีเขียวๆมัวๆ กลายมาเป็นสีชมพู จากสีชมพู ภาพก็ตัดไปเป็นสีขาวแทน
จังหวะนั้นทุกสิ่งรอบข้างสว่างราวกับว่ามีลูกไฟตกลงมาจากท้องฟ้าทุกคนกรี้ดดังลั่น
ผมกรี้ด แล้วรีบมองหามุมที่พอจะถ่ายได้ ตั้งกล้อง ถ่าย แช๊ะ ได้ 2 ใบผมก็เลิกครับใช้ตามองเฉยๆ
รู้ตัวอีกทีผมก็อ้าปากค้างอยู่จนน้ำลายแห้ง
วินาทีที่แสงเหนือแรงที่สุด รีบกดจนไม่ได้ปรับโฟกัสเลย
ตอนนั้นน้ำตาเกือบจะไหลออกมา เพราะมันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในทริปนี้
คิดอยู่ในใจว่าอยากให้พ่อแม่และพี่สาวมาเห็นภาพนี้ด้วยกันจัง
แล้วแสงก็ค่อยๆจางลงกลับสู่สภาวะปกติที่มีแสงเหนือเขียวๆอยู่บ้างทางทิศเหนือ
ทุกคนหันหน้ามามองกันแล้วบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “สุดยอด”
เห็นแค่นี้ก็ถือว่าพร้อมจะปิดทริปแล้วครับ ความฝันอย่างหนึ่งของชีวิตเป็นจริงขึ้นมาแล้ว
ที่นั่นผมเจอกับคุณลุงคุนป้าคนญี่ปุ่นที่อายุน่าจะราวๆ 60 ปลายๆแล้ว ออกมายืนดูแสงเหนือกันอยู่เหมือนกันด้วย
ผมก็เลยเข้าไปทักทายและคุยซักหน่อย คุณลุงคุณป้าบอกว่าเมื่อกี้นี้สุดยอดเลยเนอะ สวยมากๆ
เราลุ้นกันต่อพลางถ่ายกระท่อมเป้าหมายของเราอยู่ซักพัก ก็อิ่มใจกลับไปที่พัก ล้างจานที่วางทิ้งไว้ แล้วก็เข้านอนกันด้วยความฟิน
วันที่ 6
เช้าวันถัดมา เราออกจากที่พักตอนสายๆ หลังจากอิ่มกับแสงเหนือเมื่อคืนนี้
โปรแกรมของเราวันนี้หลวมๆ สบายๆ คือขับรถมุ่งหน้ากลับไปที่ Vik
ผ่านเที่ยวตัวโบสถ์ ชายหาด Reynisdrangar หน้าผา Dyrhólaey และนอนที่กระท่อมอันเวิ้งว้างแถวๆนั้น
ระหว่างที่แวะกินข้าวตรงตัวเมือง Vik มายด์กับเรียวคุยกันบอกว่า เที่ยวหนักๆแล้วมีวันสบายๆแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
ผมก็หัวเราะแล้วคิดในใจ “เออ จริงด้วยนะ”
บ่ายนั้นเราก็วนๆรถไปแถวๆชายหาด Reynisdrangar นั่งจิบกาแฟกันอยู่ตรงที่จอดรถ แล้วก็เดินเที่ยวกันชิวๆ
ตกเย็นเราขับรถขึ้นไปที่จุดชมวิว Dyrhólaey บนนั้นขับขึ้นไปยากพอสมควรครับ เป็นทางชันและไหล่ทางแคบ
ด้านบนเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นชายหาดสีดำตัดกับคลื่นสีขาวได้ไกลแบบสุดลูกหูลูกตา
พระอาทิตย์ตกวันนั้นก็สวยสุดๆ ฟ้าระเบิดอยู่ประมาณชั่วโมงนึงเต็มๆ เราถ่ายรูปโปรไฟล์กันอยู่นาน แล้วก็ได้เวลากลับ
คืนนั้นเราคิดกันว่าอาจจะกลับมาถ่ายประภาคารที่นี่กับแสงเหนือ
ผมเองถ่ายโดยพี่นิคอน
เราขับรถไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อไปที่พัก
ที่พักวันนี้เป็นที่ๆอยู่ไกลสุดๆ มันเป็นฟาร์มธรรมดาๆที่อยู่ท่ามกวางความเวิ้งว้าง
เราไปถึงก็มืดแล้วมองอะไรรอบข้างไม่เห็น เลยบ่นกันไปตลอดทางว่ามันจะอยู่ได้จริงๆหรอ
แต่พอไปถึงห้องก็ต้องตกใจ มันเป็นบังกะโลแบบ 2 ห้องนอน มีโต๊ะกินข้าว ครัว เครื่องปิ้งขนมปัง ไมโครเวฟแบบครบครัน แถมมีไวไฟที่แรงมากๆ ถือว่าเกือบจะเป็นที่พักที่ดีที่สุดในทริปนี้แล้ว ขอแนะนำเลยครับ!
คืนนั้นเป็นอีกคืนที่แค่ออกมาหน้าที่พักเราก็เห็นสีเขียวพาดอยู่เต็มท้องฟ้าแล้วครับ เราขับรถท่ามกลางความมืดออกมาซักพัก ก็เป็นถนนเรียบทะเลสาบ ที่ด้านหลังเป็นภูเขาหิมะอยู่ไกลๆ ตรงนั้นมีรถของคนจีนจอดอยู่อีกคันครับ เราเลยจอดเลยไปหน่อยแล้วก็ถ่ายมาเล็กน้อย ตรงนั้นพบว่าฉากหน้าไม่ค่อยสวยไม่มีอะไรเด่น มีก็แค่แสงเหนือที่แรงจนเขียวไปทั้งฟ้า
ตรงจุดนี้เราจึงตัดสินใจขับรถขึ้นไปบนยอดเขาที่มีประภาคาร Dyrhólaey ที่เล็งไว้ ตอนขับไปก็หวั่นๆครับ ว่าเค้าเปิดให้เข้ารึเปล่า แต่ก็พบว่าไม่มีป้ายห้ามเข้าหรืออะไร
เราไปถึงตรงนั้นเป็นทีมแรก ไม่มีใครอยู่เลยซักคน แสงเหนือตอนนั้นแรงมาก แล้วก็เต้นระบำแรงไม่แพ้เมื่อคืนเลย
ผมเล็งอย่างตั้งใจแล้วก็ได้ภาพที่ชอบมากๆใบนี้มา ถือเป็นการจบคืนวันที่ 6 อย่างสมบูรณ์ครับ ^^
เช้าถัดไปเราจะมุ่งหน้ากลับไปนอนที่ Reyjavik แล้วครับ ตอนถัดไปคือที่สุดแห่งความพีคของแสงเหนือในทริปนี้
กับสถานที่สุดท้ายที่เราตั้งใจให้เป็น The must ของทริปนี้
“Kirkjufell”
Share on Facebook